Mederma ประเทศไทย – จะรักษาแผลเป็นอย่างไรให้หาย
เรื่องแผลเป็นใคร ๆ ก็ไม่อยากมี ยิ่งถ้าเป็นสาว ๆ ด้วยแล้วยิ่งต้องรักษาแผลเป็นให้หายและรวดเร็วที่สุด ๆ ไม่งั้นคงอดโชว์ผิวสวยเป็นแน่ แต่ปัจจุบันก็ยังคงไม่มีการรักษาแผลเป็นให้หายขาดด้วยวิธีเดียว แต่จำเป็นที่จะต้องอาศัยการรักษาหลาย ๆ วิธีเข้าช่วย อาทิเช่น การทำเลเซอร์, การผ่าตัด และการใช้ยาต่าง ๆ ช่วยด้วย แต่เมื่อพูดถึงลักษณะของแผลเป็นนั้นก็มีอยู่หลายประเภท บางประเภทสามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพร แต่บางประเภทจำเป็นที่จะต้องถึงมือหมอเท่านั้น
แล้วแผลเป็นส่วนใหญ่นั้นมีลักษณะอย่างไร
แผลเป็นนั้นจริงแล้วมีอยู่หลายลักษณะ สามารถอธิบายได้ดังนี้
- แผลเป็นที่แบนราบแต่มีสีที่อ่อนกว่าหรือเข้มกว่าสีผิวปกติที่อยู่รอบ ๆ
- แผลเป็นที่มีการดึงรั้งของผิวหนัง ทำให้ผิวมีความบิดเบี้ยวตามแรงดึงรั้งของแผลเป็น เกิดเป็นพังผืด
- แผลเป็นที่มีความนูนหนา มีขอบเขตชัดเจนอยู่บนตัวแผล ไม่ขยายขอบออกจากแผล แผลอาจมีขนาดเล็กลงได้เอง
- แผลเป็นชนิดคีลอยด์ จะมีลักษณะความนูนหนาที่ลุกลามอออกนอกตัวแผล มีลักษณะนูนแข็งเห็นชัดเจนจากผิวหนังปกติ และลามไปยังผิวหนังบริเวณข้างเคียง ตัวแผลมักนูนเหนือผิวหนังปกติตั้งแต่ 4 มิลลิเมตรขึ้นไป แผลเป็นจะไม่ยุบหายไปเอง มักพบแผลเป็นคีลอยด์บริเวณต้นแขน หู หัวไหล่ และผิวบริเวณหน้าอก
จะรักษาแผลเป็นได้อย่างไร
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการรักษาแผลเป็นนั้นยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่จำเป็นที่จะต้องอาศัยการรักษาหลาย ๆ วิธีด้วยกัน อาทิเช่น
- ใช้ยาทาแก้แผลเป็น
- เป็นวิธีที่ใช้กันมากในปัจจุบัน เช่น ยาทากลุ่มสเตียรอยด์, ยาทาที่เป็นซิลิโคนเจล, ยาทาที่ผสมมิวโคโพลีแซคคาไรด์ เป็นต้น การทายาจะช่วยให้แผลเป็นมีสีที่จางลงหรือบางลงได้ แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลานาน
- ใช้แผ่นเจลซิลิโคนปิดบนแผนเป็น
- การใช้แผ่นเจลซิลิโคนในการรักษาจะสามารถยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวของผิวหนังได้ดี ลดอาการบาดเจ็บของแผลและการสูญเสียน้ำจากรอยแผลเป็น แต่การรักษาด้วยวิธีนี้มักจะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานประมาณ 4-6 เดือน แต่ไม่แนะนำให้ใช้กับแผลเป็นที่ยังใหม่อยู่ อาจเกิดอาการอักเสบได้
- ฉีดด้วยยาสเตียรอยด์
- สำหรับวิธีนี้นั้นควรมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้การดูแลและรักษาอย่างเต็มที่ เพราะเป็นยาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์โดยเฉพาะ วิธีก็คือต้องฉีดเข้าไปใต้แผลเป็นเพื่อให้แผลเป็นยุบตัวลง และจะต้องมีการฉีดหลาย ๆ ครั้ง ครั้งละประมาณ 0.5-1 ซีซี เป็นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 เดือน ซึ่งการรักษาแบบนี้จะช่วยแผลเป็นเรียบหรือยุบลงไป แต่ระยะเวลาในการยุบตัวนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นว่าใหญ่แค่ไหน หากมีขนาดใหญ่มากก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลานานกว่า
- การรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์
- ใช้สำหรับแผลเป็นที่เป็นรอยบุ๋ม โดยให้แพทย์เป็นผู้ฉีดสารนี้เข้าไปบริเวณแผลเป็นเพื่อแผลนั้นเพื่อเป็นการเติมแผลเป็นให้เนื้อเต็มเหมือนเดิม ซึ่งจะเห็นผลประมาณ 6-8 เดือน แล้วจำเป็นที่จะต้องกลับไปฉีดอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุที่จำเป็นจะต้องฉีดยาสังเคราะห์นี้เข้าไปเพราะตัวยาจะอยู่ได้เพยงแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งสารสังเคาะห์ที่หมายถึงนี้ก็คือ คอลลาเจน และสาร HA (hyaluronic acid)
- การสักสีผิว
- การรักษาประเภทนี้จะใช้กับกรณีที่แผลเป็นมีความแตกต่างจากผิวธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นผิวเข้มหรือผิวอ่อน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสักสีเข้าไปในแผลเป็น ซึ่งสีที่จะใช้ก็จะต้องเป็นสีเดียวกันกับผิวของผู้ป่วย อาทิเช่น ถ้าผู้ป่วยผิวสีขาวจะใช้สีขาวในการสัก ถ้าผิวสีแทนจะใช้สีแทนในการสัก เป็นต้น
นอกจากการรักษาข้างต้นที่ได้กล่าวมา ยังมีการรักษาอื่น ๆ อีกหลายประเภทหลายแขนง ซึ่งการรักษาที่ถูกวิธีร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด นั่นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของแผลเป็นของผู้ป่วยว่ารุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจำเป็นที่จะต้องยาที่มีขนาดแรงเท่าใด ทั้งนี้จำเป็นจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการใช้ยาอย่างถูกวิธี และไม่แนะนำให้ใช้ยาโดยขาดความรู้อย่างถ่องแท้